โดย Ambar Warrick 

-- ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในกรอบแคบในวันพุธ เนื่องจากตลาดยังคงชั่งน้ำหนักกับสัญญาณที่เพิ่มขึ้นของการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีนและความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2023 โดยรายงานประจำเดือนของ IEA กำลังอยู่ในความสนใจ

(OPEC) กล่าวในรายงานประจำเดือนเมื่อวันอังคารว่าการเปิดพรมแดนอีกครั้งของจีนจะกระตุ้นให้อุปสงค์น้ำมันดิบดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ แต่กลุ่มพันธมิตรยังคงคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกไว้เท่าเดิมว่าจะเพิ่มขึ้น 2.22 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะนี้จุดสนใจอยู่ที่รายงานประจำเดือนจาก ซึ่งจะครบกำหนดรายงานในท้ายวันนี้

ตลาดน้ำมันดิบปิดสูงขึ้นในวันอังคารหลังจากการรายงานของ OPEC โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ยังคง ตลาดกำลังวางเดิมพันว่าการยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดในประเทศบางส่วนจะนำไปสู่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

ลดลง 0.2% เป็น 86.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ เพิ่มขึ้น 0.2% เป็น 81.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการซื้อขายช่วงต้นของเอเชีย สัญญาทั้งสองเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ในวันอังคารจากการแรลลี่ในช่วงท้าย

ตัวชี้วัดการขนส่งทางถนนและทางอากาศในระยะเริ่มต้นจากจีนแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้จีนยังได้เปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้งเมื่อต้นเดือนมกราคมเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนจากนโยบายปลอดโควิดที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ

แต่ตลาดยังคงมีความไม่แน่ใจในช่วงเวลาของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ เนื่องจากจีนกำลังต่อสู้กับการระบาดของโควิด19 ที่เลวร้ายที่สุด

ความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2023 ทำให้กำไรในตลาดน้ำมันดิบถูกจำกัดเช่นกัน มีคำเตือนหลายประการเกี่ยวกับการชะลอตัวของการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สัปดาห์นี้ความสนใจอยู่ที่เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวจากสหรัฐฯ ยูโรโซน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ข้อมูล และ ของสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดรายงานในวันพุธนี้นั้นจะมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อตลาด เนื่องจากรายงานจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกิจกรรมการผลิตและความแข็งแกร่งของผู้บริโภค ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันดิบของสหรัฐฯ

ค่าเงิน ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนในสัปดาห์นี้ สร้างแรงกดดันต่อสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาเป็นดอลลาร์