หน้าแรก > ข้อมูล > รายละเอียดข่าว
ลุ้นตลาด Rebound... ไม่เห็นข่าวที่ร้ายไปมากกว่านี้
2022-01-26 11:15:06
more 
628

ตลาดหุ้นโลก-ไทย ยังถูกปกคลุมด้วยกลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งความเสี่ยงเชิงภูมิ รัฐศาสตร์ในหลายจุดทั่วโลก ท่าที่ของ Fed ที่ชัดเจนว่าจะใช้นโยบายการเงิน ตึงตัวเชิงรุก รวมถึงล่าสุดการปรับลดคาดการณ์GDP Growth โลกของ IMF อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้ดูดซับปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวไว้ระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีเกราะป้องกันในเชิงโครงสร้างที่ องค์ประกอบ Market Cap และกำไร ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่ม Old Economy และ กลุ่ม Commodity สถานะดังกล่าวทำให้เราเชื่อว่า Downside ของตลาดหุ้นบ้าน เรามีไม่มากนัก ส่วน Theme การลงทุน ยังเน้นไปที่หุ้นกลุ่ม Commodity กลุ่มค้าปลีก กลุ่มรับเหมาฯ และ กลุ่มธนาคารพาณิชย์

คาด SET Index มี Downsideจำกัดและอยู่ในกรอบ 1625 – 1655 จุด และ มีลุ้นเกิด Technical Rebound พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยน หุ้น Top Pick วันนี้ เลือก CPALL, MAKRO และ STEC

ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่ หนุนราคา Commodity ทรงตัวสูง

ASPS มองว่าประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกยังเฝ้าติดตามต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่ตัดสินใจ ลงทุน (Overhang) ในช่วงนี้มีด้วยกัน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitical Risk): ASPS นำเสนอวานนี้ว่า ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์หลายแห่งในโลกกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เช่น

• ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน-สหรัฐ: หลังจากที่ช่วงต้นปี 2565 รัสเซียส่งกำลังทหารไปประชิดชายแดนยูเครน ส่งผลให้ยูเครนสหรัฐ มีท่าทีตอบโต้ โดยสหรัฐมีคำสั่งให้ฑูตออกจากยูเครน และ เตรียมสั่งการให้ทหารประมาณ 8,500 เคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังยุโรป

• สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE)–กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบฮูตี(Houthi) ในเยเมน: สัปดาห์ที่แล้ว UAE ถูกโจมตีจากกลุ่มฮูตีด้วยโดรนและจรวดมิสไซส์เข้าโจมตีรถขนส่งพลังงานของ UAE และกลุ่มฮูตีได้ประกาศว่าจะโจมตีสถานที่สำคัญอื่นๆอีก

• ความตึงเครียดระหว่างจีน-เกาหลีเหนือ-สหรัฐ-ไต้หวัน-ญี่ปุ่น:เนื่องจากสหรัฐ-ญี่ปุ่นมีการซ้อมรบร่วมกันในทะเลฟิลิปปินส์ ส่งผลให้จีนตอบโต้โดยการส่งเครื่องบินรบเข้าไปในเขตน่านฟ้าของไต้หวันในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุดวานนี้ เกาหลีเหนือ (พันธมิตรของจีน) ได้ทดสอบการยิงขีปนาวุธ จำนวน 2 ลูก ในทะเลญี่ปุ่นนับเป็นการยิงทดสอบครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ต้นปี 2565

  1. การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed): ในระหว่างที่กำลังรอผลการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในวันที่ 25-26 ม.ค. 2565 (ทราบผลช่วงกลางดึก คืนวันที่ 26 ม.ค. 2565) ส่งผลให้ตลาดหุ้นยังแกว่งผันผวนได้ เพราะนักลงทุน ให้น้ำหนักว่า Fed จะส่งสัญญาณเร่งการใช้นโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้น หรือไม่ เช่น ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณ (ปัจจุบันส่งสัญญาณ ขึ้นราว 3-4 ครั้ง) รวมถึงเร่งรัดการปรับลดวงเงิน QE และลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Runoff) โดยตลาดหุ้นน่าจะแกว่งผันผวนในระหว่างที่กำลัง รอผล เพราะเชื่อว่านักลงทุนต้องการทราบท่าทีที่ชัดเจนของ Fed ก่อน จึงจะ นำมาใช้กำหนดแนวทางการลงทุน

จากประเด็นของความไม่แน่นอนที่ Overhang ตลาดหุ้นโลกข้างต้น ASPS ประเมินว่า ตลาดหุ้นโลกจึงมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนต่อไป กดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเผชิญ ความผันผวนตามไปด้วย แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบเบากว่า เนื่องจาก โครงสร้างตลาดหุ้นไทยประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรถึงประมาณ 1 ใน 3 ซึ่ง ราคาสินค้า Commodity น่าจะยังทรงตัวสูงได้ จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ข้างต้น (รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และ UAE เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของ OPEC) ซึ่งจะบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น PTTEP, PTT (BK:PTT) และนอกจากนี้ ตลาด หุ้นไทยยังประกอบด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) เป็นหลัก เช่น พลังงาน-ปิโตร, ธนาคาร, ค้าปลีก, สื่อสาร เป็นต้น ซึ่งจะมีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้น ของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่ากลุ่มธุรกิจแบบใหม่ (New Economy) เช่นกลุ่มเทคโนโลยี โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ในช่วง 1,625-1,655 จุด โดย จุดสำคัญยังให้น้ำหนักที่การปิดยืนเหนือ EMA 75 วันตรง 1,635 จุดให้ได้

IMF ปรับลดคาด GDP โลกและไทย แต่เชื่อตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2565- 2566 วานนี้ ภาพรวมเป็นการปรับลดประมาณการ GDP โลกปี 2565 ลงจาก 4.9%yoy เหลือ 4.4%yoy โดยปรับลงทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา เช่น สหรัฐ , ยุโรป, อังกฤษ, จีน, อาเซียน (ดังตาราง) สาเหตุสำคัญมาจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ที่ระบาดไปทั่วโลก กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน หลายๆประเทศ และการค้าโลก รวมไปถึงการส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว ของสหรัฐที่เร็วขึ้น และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ส่วนในปี 2566 IMF ปรับ ประมาณการ GDP ขึ้นเล็กน้อยจาก 3.8%yoy เป็น 3.6%yoy

และถ้าพิจารณาแยกเป็นประเทศพัฒนาแล้ว-กำลังพัฒนา พบว่า IMF ประเมิน GDP ประเทศกำลังพัฒนายังขยายตัวได้สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดย GDP ประเทศกำลัง พัฒนาขยายตัว 4.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่ 3.9% (ดังรูป) ซึ่ง ASPS เชื่อว่าใน กลุ่มประเทศที่มี GDP ขยายตัวได้ดี น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูด Fund Flow จาก ต่างชาติเข้ามาได้

ส่วนของไทย IMF ปรับลดจาก 4.7% เหลือ 4.1% ส่วนหนึ่งเกิดจากการระบาดของ COVID-19 ที่ท้าทายการท่องเที่ยว แต่นับว่ายังสอดคล้องกับ Consensus ที่คาด GDP ไทยปี 2565 จะขยายตัวในช่วง 3.2-4.2%

สรุป จากการปรับประมาณ GDP ของ IMF ASPS มองว่าไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะ สาเหตุที่ปรับ GDP ลงนั้นเป็นประเด็นที่ตลาดหุ้นโลก-ไทยรับรู้ไปพอสมควรแล้ว โดย ASPS เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก และไทยในปีนี้ ยังคงมีแรงส่งของการฟื้นตัว ช่วยหนุนให้ ตลาดหุ้นสามารถแกว่งตัวกลับขึ้นไปได้ ในระยะต่อไป

กลต. - ธปท.- คลัง ห้ามใช้Digital ชำระสินค้าและบริการ กระทบบริษัทจำกัด.....

กระแสการปรามการใช้ Digital Asset (อาทิ Bitcoin, Etheruem ฯลฯ) เพื่อเป็น สื่อกลางในการชำระสินค้าและบริการจากภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อวานนี้ แบงก์ชาติ(ธปท.), ก.ล.ต. และ กระทรวงการคลังหารือร่วมกัน ถึงประโยชน์และความ เสี่ยงของ Digital Asset และเห็นความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมในการนำ Digital Asset มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ(Means of Payment) คือ (*ห้ามใช้Digital ชำระสินค้าและบริการ) ขั้นถัดไป คือ ก.ล.ต. จะเปิด public hearing จนถึง 8 ก.พ.65 เพื่อให้กฏเกณฑ์ครอบคลุมมากที่สุด และจะออก ประกาศ พ.ร.ก.สินทรัพย์ Digital ในเร็วๆนี้ หลังประกาศใช้จะให้เวลาผู้ประกอบการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายใน 15 วัน หากพบยังมีการใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการจะ มีลงโทษตามกฎหมาย

ั้งนี้เป็นผลจากช่วงที่ผ่านมากระแสบริษัทต่างในบริษัทจดทะเบียน และนอกตลาด เริ่มทำการตลาด และ ยอมรับให้ใช้ Digital Asset อาทิ Bitcoin Etheruem ในการชื้อ สินค้าและบริการ ASPS ประเมินว่าปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในไทยประกอบธุรกิจเกี่ยวข้อง Crypto currency คือ ICO portal, รับชำระค่าสินค้าบริการ , ลงทุนใน Crypto currency ขุด ,เหรียญ Bitcoin Mining และ Exchange กระดานซื้อ-ขาย ดังรูป ประเมินว่าการประกาศทางการดังกล่าวข้างต้น จะ Impact หรือสร้าง Sentiment ลบ ต่อ บริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจประเภทที่ 1คือ ICO portal อาทิ KBANK (BK:KBANK), SCB, XPG, CGH ฯลฯ เนื่องจากอาจทำให้กระบวนการออกเหรียญ หรือ Token ในตลาดมี อุปสรรค ฯลฯ และผลกระทบโดยตรงกับ * บริษัทจดทะเบียนที่รับเหรียญชำระค่า สินค้าบริการ อาทิ กลุ่มอสังหา SIRI, ANAN, ORI, MJD กลุ่มสื่อ อาทิ MAJOR แต่ คาดจะไม่กระทบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้อย่างมีนัยยะ เนื่องจากผู้บริโภค ยังเป็นส่วนน้อยที่ใช้เหรียญในการซื้อขายสินค้าและบริการ ส่วนบริษัทที่ประกอบ ธุรกิจ Digital Asset อื่นๆ อาทิ ลงทุนใน Crypto currency ขุด,เหรียญ Bitcoin Mining คาดกระทบจำกัดมาก

Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยมากสุดในภูมิภาค แนะหุ้นใหญ่ Laggard กำไรอิงการ ฟื้นของเศรษฐกิจในประเทศ CPALL MAKRO STEC

ตลาดหุ้นโลกยังคงผันผวน โดยนักลงทุนเฝ้ารอดูการประชุม Fed ในคืนนี้ รวมถึงยังมี ปัจจัยเสี่ยงจากทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นตัวเร่งให้นักลงทุนเบนมาสนใจหุ้นคุณค่า (Value Stock) หนุนผลตอบแทนดัชนี MSCI World Value ให้ผลตอบแทน -2.6% แข็งแกร่งกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stock) อย่างดัชนี MSCI World Growth ให้ ผลตอบแทน -13.6%

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยมีโครงสร้างเกราะป้องกันความผันผวนในช่วงนี้ จากสัดส่วน หุ้นพลังงานกับธ.พ. รวมกันสูงถึง 31% ของมูลค่าตลาดรวม และเศรษฐกิจยังมีโอกาส ฟื้นตัวเด่น หลังประเด็นกดดันจากโควิดเริ่มเบาลง หนุน Fund Flow จากนักลงทุน ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาคทั้งในสัปดาห์นี้ และตลอดเดือน ม.ค. 65 ที่ผ่านมา กว่า 106 ล้านเหรียญ (wtd) และ 449 ล้านเหรียญ (mtd) ตามลำดับ

แม้ปัจจัยภายนอกยังผันผวน แต่ฝ่ายวิจัย ASPS คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมี ความแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว ของ SET Index ในวันนี้ 1625 – 1655 จุด กลยุทธ์เน้นหุ้นพื้นฐานดีราคา Laggard อิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก อย่าง CPALL, MAKRO และ STEC เป็น Top pick ในวันนี้

สยามแม็คโคร จำกัด (BK:MAKRO) ผลบวกจะชัดขึ้น เมื่อรวม Lotus’s เต็มที่, การเริ่มนำเงิน PO ที่ได้ไปคืนหนี้, การฟื้นตัวธุรกิจพื้นที่เช่า+ขยายตัวทั้งสาขาและออนไลน์ธุรกิจค้า ส่ง+ค้าปลีก ภายใต้มุ่งเน้นสินค้าถนัดอาหารสด หนุนกำไรปี 2565-66 โตปีละ 32.8% PER’65 และ PER’66 ต่ำเหลือ 30.3 และ 22.3 เท่า เหมาะลงทุนกลาง-ยาว

ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (BK:STEC)คาด 4Q64 กำไรสุทธิ 298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119%QoQ ตาม ยอดรับรู้รายได้ที่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในงวด 3Q64 ที่มีการปิดไซต์ก่อสร้าง ภาพรวมธุรกิจ ดูดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเซ็นสัญญาก่อสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ ทำให้มี Backlog สูง ถึง 1.2 แสนล้านบาท รองรับการสร้างรายได้ที่มั่นคงในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ซีพี ออลล์ จำกัด (BK:CPALL)คาดว่ากำไร CPALL จะกลับมาฟื้นตัวได้ถึง 107% ในปี 2565 สูงขึ้นจากฐานปี 2564 ที่ต่ำลง การฟื้นตัวจะมาจากผลบวกที่คาด SSSG ทุก Format และพื้นที่เช่า CPRD (Lotus’s) คาดฟื้นตัวตามภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจ, ท่องเที่ยวที่ กลับมา และมาร์จิ้นที่ลดลงฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบ COVID ที่ลดลง

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

คำสั่ง:
เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้แสดงถึงมุมมองของเว็บไซต์ FxGecko เนื้อหามีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง เลือกอย่างระมัดระวัง! หากมีปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ลิขสิทธิ์ ฯลฯ โปรดติดต่อเราและเราจะทำการปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!

บทความที่เกี่ยวข้อง

您正在访问的是FxGecko网站。 FxGecko互联网及其移动端产品是中国香港特别行政区成立的Hitorank Co.,LIMITED旗下运营和管理的一款面向全球发行的企业资讯査询工具。

您的IP为 中国大陆地区,抱歉的通知您,不能为您提供查询服务,还请谅解。请遵守当地地法律。