วันนี้ (15 มี.ค.) มีการปรับฐานลงจากวันก่อนหน้า หลังนักลงทุนคลายความวิตกกังวลต่อประเด็นวิกฤติในภาคการเงินสหรัฐ ทําให้เกิด การเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับราคาทองคําก็ ถูกกดดันจากการแรงขายทํากําไรด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้ว่าทางการสหรัฐจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า วิกฤติสภาพคล่องจากซิลิคอน- วัลเลย์ แบงก์ (SVB) จะไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติในภาคการเงินสหรัฐ แต่หลายฝ่ายก็ยังคงจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอยู่ ซึ่งล่าสุดทางมูดี้ส์- อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของระบบธนาคารสหรัฐ จากมุมมองเชิงมี เสถียรภาพสู่มุมมองเชิงลบ ด้วยสถานการณ์ในภาคการเงินที่ส่อแววไม่สู้ดีเช่นนี้ แต่ขณะเดียวกันตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนก.พ. ยังคงปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดือนที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้เฟดมีแนวโน้มที่จะยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. นี้ สอดคล้องกับข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group ที่บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ําหนักทะลุระดับ 80% ต่อคาดการณ์ในแนวโน้มดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจึงฟื้นตัวได้เพียงระดับจํากัด ส่งผลให้ราคาทองคํายังแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นเช่นนี้ต่อไป
คําแนะนํา
• ราคาทองคํากลับมาแกว่งตัวในกรอบ แต่ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง
• เสี่ยงซื้อทํากําไรระยะสั้น เมื่อราคาปรับตัวลงสามารถยืนเหนือโซนแนวรับ 1,895-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์
• สถานะซื้อตัดขาดทุน หากราคาหลุดแนวรับบริเวณ 1,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์
• ทยอยปิดสถานะซื้อทํากําไร หากราคาไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,925-1,943 ดอลลาร์ต่อออนซ์
บทความนี้จัดทำขึ้นโดย YLG Bullion International
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 02-687- กด 1 หรือเว็บไซต์ \\.co.th